เมื่อพูดถึง 'ความเหลื่อมล้ำ' เรามักจะนึกถึง ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ช่องว่างของผู้มีอันจะกินในสังคม และชนชั้นแรงงาน มันจะเป็นภาพแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัว อย่างไรก็ตาม 'ปัญหาความเหลื่อมล้ำ' ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความแตกต่างระหว่างรายได้ สิทธิในที่ดิน หรือการครอบครองทรัพย์สินที่แตกต่างกัน แต่ยังรวมถึงการเข้าถึงโอกาสที่แตกต่างกันด้วย และการทำให้ทุกคนมีโอกาส หรือ มีทรัพย์สินที่เท่ากัน ก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง แต่เราเชื่อว่า มันมีสิ่งพื้นฐานที่ทุกควรจะมีโอกาสได้รับเหมือน ๆ กัน เช่น ไฟฟ้า, น้ำประปาที่สะอาด, และการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อบรรเทาปัญหาและลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาในกลุ่มเหล่านี้ จึงต้องทำการศึกษาปัญหาและหากลไกในการแก้ปัญหา โดยมีเป้าประสงค์ที่จะร่วมกันช่วยเหลือ และพาเด็กกลับเข้าสู่ระบบโรงเรียน เพื่อพัฒนาเด็กให้เติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม และเป็นประชากรที่มีคุณภาพ
เมื่อสืบค้นข้อมูลพบว่า มีเด็กไทยถึง 1,025,514 คน (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 2567)* อยู่นอกระบบการศึกษา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะทางเศรษฐกิจ สภาพสังคม และขาดโอกาสในการเข้าถึงที่เหมาะสม คำถามสำคัญ คือ จะเป็นอย่างไรเมื่อเด็กกว่า 1 ล้านคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในโลกที่กำลังขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว
เขาเหล่านั้นจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงไหม?
เขาเหล่านั้นจะปรับตัวได้ไหม?
นั่นเป็นคำตอบที่เราไม่รู้ และอาจไม่จำเป็นต้องรู้ แต่เราเชื่อว่า เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เหมาะสม เขาจะสามารถเข้าถึงโอกาสในการเลือกเส้นทางของตัวเองที่ดีขึ้นและเหมาะสมอย่างแน่นอน และนั้น คือ สิ่งที่เราเชื่อ
Zero Dropout คือ โครงการที่ถูกผลักดันขึ้นเพื่อ “ลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา” โดยผลักดันให้ตัวเลขของ “เด็กหลุดระบบการศึกษา” เป็น ศูนย์ โดยมีการผลักดันจากหลายหน่วยงานระดับประเทศ และระดับพื้นที่
โดยในพื้นที่จังหวัดราชบุรีได้มีการตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงเกิดภาคีความร่วมมือของหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานการศึกษาท้องถิ่น, หน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่น, อาสาสมัครในพื้นที่ (NGO) จังหวัดราชบุรีและศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนมูลนิธิโครงการหลวงและโครงการตามพระราชดำริ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ข้อมูลจากการลงพื้นที่สำรวจของทีมอาสาสมัคร (NGO) ในจังหวัดราชบุรี พบว่ามีจำนวนถึง 399 คน ที่หลุดออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยในกลุ่มนี้ มีเด็กอายุ 6-12 ปี จำนวน 18 คน และมีเด็กอายุ 13-15 ปี จำนวน 40 คน ที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
คำถามที่น่าสนใจ คือ เด็กเหล่านี้ คือ ใคร และ
เพราะอะไรเด็กเหล่านี้ถึงหลุดออกจากระบบการศึกษา
จากข้อมูลการลงพื้นที่สำรวจเล็งเห็นว่า ช่วงอายุที่เปราะบางและน่าเป็นห่วงจากการหลุดออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ช่วง 6-15 ปี (ตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ) โดยมีจำนวนถึง 58 คน และมีอายุเฉลี่ยที่ 12.91 ปี
สัดส่วนเพศชายอยู่ที่ 70.7% อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 12.85 ปี และเพศหญิงอยู่ที่ 29.3% อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 13.06 ปี
โดยเด็กที่ หลุดออกจากระบบการศึกษามาจาก 5 อำเภอ ของจังหวัดราชบุรี ได้แก่
1. อำเภอเมือง จำนวน 18 คน
2. อำเภอจอมบึง จำนวน 14 คน
3. อำเภอสวนผึ้ง จำนวน 10 คน
4. อำเภอบ้านโป่ง จำนวน 7 คน
5. อำเภอบ้านคา จำนวน 7 คน
เมื่อพิจารณาข้อมูล การหลุดออกจากระบบการศึกษาออกเป็น 3 ช่วงอายุ คือ ช่วงประถมศึกษาตอนต้น อายุ 6-9 ปี, ช่วงประถมศึกษาตอนปลาย อายุ 10-12 ปี, และช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น อายุ 13-15 ปี แต่ละอำเภอพบว่า
1. อำเภอเมือง สัดส่วนการหลุดออกสูงสุดจะเป็น ช่วงประถมศึกษาตอนต้น อายุ 10-12 ปี
2. อำเภอจอมบึง สัดส่วนการหลุดออกสูงสุดจะเป็น ช่วงประถมศึกษาตอนปลาย อายุ 10-12 ปี
3. อำเภอสวนผึ้ง สัดส่วนการหลุดออกสูงสุดจะเป็น มัธยมศึกษาตอนต้น อายุ 13-15 ปี
4. อำเภอบ้านโป่ง สัดส่วนการหลุดออกระหว่าง ช่วงประถมศึกษาตอนต้น และ ตอนปลาย มีสัดส่วนที่เท่ากัน
5. อำเภอบ้านคา สัดส่วนการหลุดออกสูงสุดจะเป็น ช่วงประถมศึกษาตอนปลาย อายุ 10-12 ปี
เมื่อพิจารณาตามลักษณะการอยู่อาศัยของเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา สามารถออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. ไม่ได้อยู่ในชุมชน 22.4%
2. อยู่ชุมชนชาติพันธุ์ 20.7%
3. อยู่ในชุมชนปกติ 15.5%
ข้อสังเกตเกี่ยวกับลักษณะอาชีพของผู้ปกครองของเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา พบว่า
1. มาจากครอบครัวจากกลุ่มเกษตรกรรม 29.9%
2. กลุ่มรับจ้างทั่วไป 17.9%
3. กลุ่มค้าขาย 6%
การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงในการหลุดออก
เมื่อวิเคราะห์ถึงอันดับสาเหตุที่ทำให้ไม่อยู่ในระบบการศึกษา จากแบบสอบถามที่เลือกตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก ประกอบไป
ด้วยสาเหตุต่างๆ ดังนี้:
1. ปัญหาความยากจน (37 คน)
2. เหตุผลด้านสุขภาพ (14 คน)
3. ปัญหาครอบครัว (13 คน)
4. ออกกลางคัน/ถูกผลักออก (6 คน)
5. ไม่ระบุ (4 คน)
จากข้อมูลแบบสำรวจเบื้องต้นพบว่ากลุ่มตัวอย่างของเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาเลือกคำตอบ ปัญหาความยากจน เป็นสาเหตุ อันดับ 1 ที่ทำให้ไม่อยู่ในระบบการศึกษา
ความช่วยเหลือที่ต้องการ
นอกจากนี้ ในแบบสำรวจยังมีคำถามที่เป็นส่วนของความต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในด้านต่างๆ 6 ด้าน ที่ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์ถึงลักษณะความช่วยเหลือในมิติต่างๆ ที่กลุ่มเด็กหลุดออกต้องการ ประกอบไปด้วย: การพัฒนาสิทธิสถานะ, การศึกษา, การฟื้นฟูสุขภาพกาย, การฟื้นฟูทางด้านจิตใจ, ครอบครัวอุปถัมภ์ และที่พักอาศัย
จากค่าคะแนนเฉลี่ยรวมพบว่า มีความต้องการความช่วยเหลือเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้
1. การศึกษา (4.98)
2. การฟื้นฟูสุขภาพกาย (4.12)
3. การฟื้นฟูทางด้านจิตใจ (3.40)
4. ที่พักอาศัย (3.31)
5. ครอบครัวอุปถัมภ์ (2.88)
6. การพัฒนาสิทธิสถานะ (2.26)
ในกลุ่มของเด็กหลุดออกที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างเร่งด่วน มีค่ามัธยฐานของรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 795 บาท ในขณะที่ในกลุ่มของเด็กหลุดออกที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างเร่งด่วน มีค่ามัธยฐานของรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 2,500 บาท กล่าวคือค่ามัธยฐานของรายได้ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกัน 667 บาท และ ยังไม่พ้นเส้นของความยากจน หากปัจจัยทางด้านรายได้ไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา และต้องการได้รับความช่วยเหลือ แล้วมีปัจจัยอื่นใดบ้างที่ส่งผล
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
เมื่อพิจารณาถึงความต้องการความช่วยเหลือทางด้านการศึกษา แผนภูมิกล่องนี้ใช้แสดงการกระจายตัวของระดับความต้องการในการช่วยเหลือทางด้านการศึกษา แบ่งตามกลุ่มช่วงรายได้ต่างๆกัน โดยค่ามัธยฐานจากช่วงรายได้ต่างๆ มีลักษณะเป็น กลุ่ม 10,000 บาทขึ้นไป (6 คะแนน), กลุ่ม 5,000-9,999 บาท (5.5 คะแนน) และกลุ่มต่ำกว่า 3,000 บาท
(5 คะแนน)
ในส่วนของความต้องการในการได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ในมิติด้านการศึกษา พบว่า ความต้องการความช่วยเหลือทางด้านการศึกษามีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อช่วงรายได้สูงขึ้น
เมื่อพิจารณาอัตราส่วนของจำนวนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนกับผู้ที่ไม่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พิจารณาแบ่งตามจำนวนปีที่อยู่ในระบบการศึกษาจำนวน 3, 6, และ 9 ปี พบว่า:
เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาในช่วงประถมต้น (จำนวนปีในการศึกษาสูงสุด 3 ปี) อัตราส่วนของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนคิดเป็น 75%
เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาในช่วงประถมปลาย (จำนวนปีในการศึกษาสูงสุด 6 ปี) อัตราส่วนของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนคิดเป็น 81.82%
เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น (จำนวนปีในการศึกษาสูงสุด 9 ปี) อัตราส่วนของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนคิดเป็น 92.86%
โดยจำนวนปีที่อยู่ในโรงเรียนช่วง 3 ปี ถึง 9 ปี สัดส่วนของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมีแนวโน้มมีจะเพิ่มมากขึ้น เมื่อจำนวนปีการศึกษาสูงขึ้น
เมื่อพิจารณา เป้าหมายด้านการศึกษา พบว่าเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เรียงลำดับจากมากไปน้อย
ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน (24 คน)
เรียนต่อสายสามัญ (13 คน)
เรียนต่อสายอาชีพ (13 คน)
ความช่วยเหลือด้านการมีอาชีพ
โดยส่วนสุดท้ายคือ การศึกษาลักษณะและข้อสังเกตที่ว่าถ้าในกลุ่มเด็กหลุดออกไม่มีความต้องการทางด้านการศึกษา ความช่วยเหลือในลักษณะใดที่เด็กหลุดออกต้องการ เพื่อรวบรวมข้อสังเกตที่ได้นำไปวิเคราะห์ลักษณะการสนับสนุนที่จะทำให้เด็กหลุดออกสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
เมื่อพิจาณาเป้าหมายด้านการมีอาชีพ พบว่าเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา
ต้องการประกอบอาชีพและศึกษาต่อ (23 คน)
ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน (20 คน)
ฝึกทักษะชีวิต/พัฒนาตนเอง (9 คน)
โดย 5 อันดับลักษณะความต้องการการช่วยเหลือในกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือและไม่มีอาชีพ โดยเป็นแบบสอบถามที่เลือกตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก
การฝึกอาชีพ, หลักสูตรเสริม, กิจกรรมเสริม (34 คน)
อุปกรณ์การเรียน (23 คน), เงินทุน (2 คน)
ไม่ระบุ (2 คน)
ในตอนนี้เมื่อเราทราบแล้วว่า มีเด็กกว่า 1 ล้านคน ที่หลุดออกจากระบบการศึกษา คำถามที่น่าสนใจ คือ เด็กกว่า 1 ล้านคนนี้จะเติบโตท่ามกลางกระเเสความเปลี่ยนแปลงได้ไหม ได้อย่างไร และอะไร คือ สิ่งที่เด็กเหล่านี้ต้องการ
ข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่ภายในจังหวัดราชบุรี อาจเป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก ๆ ที่ช่วยให้เราได้เข้าใจปัญหานี้มากขึ้น และเราเชื่อว่าข้อมูลจะทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยพูด และทำให้เราเข้าใจจริง ๆ ปัญหา คือ อะไร - และนั่นคือสิ่งที่สำคัญ
*หลังจากที่นำข้อมูลนักเรียนรายบุคคลในช่วงอายุ 3-18 ปี จากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (เทียบเท่าระดับชั้นอนุบาล 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6) ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 12,200,105 คน ไปวิเคราะห์กับข้อมูลรายบุคคลซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการรวบรวมจากหน่วยงานผู้จัดการศึกษาทุกสังกัด รวม 21 สังกัด ทั่วประเทศไทยจำนวน 11,174,591 คน พบว่ามีเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 3 – 18 ปี ที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 1,025,514 คนหรือร้อยละ 8.41 ของเด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปีทั้งหมด (12,200,105คน) (อยู่ระหว่างการเชื่อมโยงฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ โรงเรียนนานาชาติ ศูนย์การเรียน รวมถึง เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษา)
ที่มา: https://www.eef.or.th/infographic-1-02-million-children/